วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา










โน่นเป็นความรู้สึกคราวแรกที่ได้มามองเห็นบรรยากาศโบราณสถานอันเก่า แก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ ดินแดนที่เรียกว่า “กรุงอโยธยา” เมืองหลวงเก่าของไทยในสมัยก่อน ก่อนที่จะพระผู้เป็นเจ้าอู่ทองคำพระเจ้าอยู่หัว ไทยในยุคนั้นจะย้ายถิ่นผู้คนหนีโรคห่า(อหิวาต์) ้ามแม่น้ำเข้ามาตั้งบ้านเรือนรวมทั้งสร้างเมืองใหม่ในเกาะชั้นในซึ่งเป็นที่ตั้งของ แฮตทริก
อำเภอเมืองในตอนนี้

3 ม.ค. 2541 เป็นวันที่ผมรวมทั้งเครือญาติๆตกลงกันว่าจะท่องเที่ยวปีใหม่กันที่จ.พระนครศรีอยุธยาซึ่งก็ไม่ไกลจากกรุงเทวดานักรวมทั้งสบายที่
จะพาญาติผู้ใหญ่ที่แก่แล้วมาท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเปลี่ยนบรรยากาศที่จะต้องอยู่บ้านนานๆโดยตารางโดยประมาณว่าจะออกมาจากกรุงเทวดา เช้าตรู่ นมัสการพระมงคลบพิตรท่องเที่ยวดูโบราณสถานสักที่สองที่ หลังจากนั้นก็จะเดินทางถัดไปที่จังหวัดสิงห์บุรีเพื่อทดลองลิ้มชิมรส “ ปลาช่อนแม่ลาเผา“ ที่มีชื่อ และจากนั้นก็กลับกรุงเทวดาในวันเดียวกัน

จากกรุงเทวดาขับขี่รถไปตามถนนหนทางสายทวีปเอเชียซึ่งเป็นถนนหลักที่มุ่งสู่จังหวัดต่างๆทางภาคเหนือ การจราจรวันนี้นับว่าแคล่วคล่องว่องไวมากมาย
ถนนหนทางก็เลยโล่งเตียนตลอด รืออาจเป็นเนื่องจากว่าล่วงเลยวันปีใหม่มารวมทั้งได้ไม่นานนักก็มาถึงทางแยกเข้าจ.พระนครศรีอยุธยาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหนทาง ของจังหวัด ผมมิได้แวะเข้ามาในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานานแล้ว มีความคิดว่าเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย ถนนหนทางที่เคยแออัดเมื่อแยกจาก ถนนใหญ่ก็ขยายออกให้กว้างขึ้น อาคารตึกรามบ้านช่องข้างหลังเล็กๆสองริมทางที่มองเห็นก่อนหน้านี้ ก็แปลงเป็นอาคารใหญ่มหึมาจนถึงบังสถานที่สำคัญ ต่างๆที่เคยมองเห็นขณะที่กำลังขับรถยนต์ผ่านเมื่อหลายปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้

ป้ายทางแยกด้านหน้าที่มองสะดุดตา “ วัดใหญ่ชัยมงคล” เป็นป้ายใหญ่ของถนนหลวงและก็มีลูกศรชี้ไปทางด้านซ้ายตรงสามแยกเล็กๆวัดนี้ ผมยังไม่เคยท่องเที่ยวเลยก็เลยต้องการจะทดลองแวะมองสักนิดสักหน่อยก่อนจะไปไหว้พระมงคลบพิตรจากที่คิดไว้ตั้งแต่แรก พี่น้องที่มาร่วมกันพูด พูดว่า “งามดังวัดอื่นๆในอยุธยา และก็มีพวกฝรั่งฝรั่งมาท่องเที่ยวกันแยะ “ ็สรุปว่าผมตกลงใจเลี้ยวซ้ายในทันที ซึ่งกะว่า คงจะใช้เวลาไม่นานนัก



ไม่เกิน 1 กิโลเมตรพวกเราก็มาถึงยังวัดใหญ่ชัยมงคล เจดีย์องค์ใหญ่สามารถเห็นได้ขณะรถยนต์วิ่งอยู่บนถนนก่อนจะเลี้ยวรถยนต์เข้าไปด้วย ซ้ำ “ เจดีย์ที่มองเห็นองค์นี้แหละที่สูงที่สุดในจ.พระนครศรีอยุธยาเลยนะ แต่เดิมเมื่อมาจากกรุงเทวดาจะมองเห็นเจดีย์องค์ใหญ่ก่อนจะเข้ามาใน เมืองอยุธยา “ เครือญาติคนหนึ่งพูดขึ้นมาขณะเลี้ยวรถยนต์เข้าไปที่ลานหยุด

ผมบากบั่นที่จะคิดภาพ “อยุธยา” ย้อนไปไปหลายๆปีกลาย พอเพียงจะนึกออกว่าเมื่อกำลังจะถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาก็จะมองเห็นเจดีย์เก่าๆเอียงๆมองดู มองเห็นมาแต่ไกลอย่างกับจะตั้งอยู่กึ่งกลางชายทุ่งด้วย แต่ว่าระยะหลังๆนี้เมื่อขับขี่รถผ่านมาทีไรก็มองไม่เห็นเจดีย์เก่าๆที่ว่านี้แล้ว เอกลักษณ์ที่ สื่อความหมายโบราณของอดีตกาลถูกตึกใหม่ๆสร้างบังทัศนีย์ภาพเดิมๆไปจนกระทั่งหมดเกลี้ยง คิดและจากนั้นก็โชคร้ายที่จังหวัดนี้ซึ่งมีความเป็น มาทางประวัติศาสตร์อันนานหลายร้อยปี และก็มีโบราณสถานจำนวนมาก แม้กระนั้นไม่บางทีอาจจัดวางแบบแปลนเมืองให้สอดคล้องกับโบราณสถานที่หลักๆของจังหวัดได้ เหมือนกันกับที่วัดพนัญเชิงซึ่งมีแม่น้ำอันดั้งเดิมไหลผ่าน แต่ว่าฝั่งตรงข้ามกับวัดกลับยินยอมให้เอกชนสร้างโรง แรมใหญโตสูงสิบกว่าชั้นทำให้มองขัดหูขัดตารวมทั้งตัวตึกก็มิได้ดีไซน์ให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมแถวนั้นเลยแม้แต่น้อย



เมื่อมาในเขตวัดก็รู้สึกได้โดยทันทีถึงความอลังการกับภาพที่มองเห็น ไม่น่าฉงนใจเลยว่าเพราะอะไรนักเดินทางฝรั่งก็เลยมากมายก่ายกอง และก็ดูเหมือนจะมากยิ่งกว่าชาวไทยด้วยไป บริเวณของสงฆ์มิได้ใหญ่มหึมาเท่าไรนักแต่ว่าก็มีเสน่ห์น่าชื่นชมในทุกจุด ผมรู้สึกตลึงกับ สถานที่ที่นี้มากมาย ซากในขณะที่ซ่อมแล้วและก็ที่ยังปลดปล่อยให้เป็นไปตามภาวะเดิมมองแแล้วมีมนต์ขลัง พอเดินเข้าไปภายในก็ เช่นเดียวกับได้สัมผัสกลิ่นที่สมัยโบราณเมื่อหลายร้อยปีกลาย ซึ่งพอเพียงจะภาพในใจได้ว่าในสมัยก่อนนั้นจะมีความก้าวหน้าแค่ไหน ซากปรัก หักพังทลายที่มองออกใหญ่มโหฬารนั้นย่อมแสดงถึงความก้าวหน้าของสมัยกรุงศรีอยุธยาได้อย่างดีเยี่ยม

จากประตูปากทางเข้ามีทางเดินเล็กๆตรงเข้าไปข้างในรอบๆ สิ่งที่มองเห็นเด่นและก็สะดุดตามากมายก็คือความสะอาดรวมทั้งการดูแลและรักษาสถานที่ ที่รอบๆเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเกือบจะไม่มุมใดที่มองเกลื่อนกลาดตาเลย ไม่ว่าจะเป็นสุขาหรือจุดหลักๆที่นักเดินทางบางทีอาจป่ายปีนจนถึงบางทีอาจทำ ความทรุดโทรมและก็เป็นการลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ ทางวัดก็จัดให้มีข้าราชการดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่นี้มองมีคุณค่าเพิ่มขึ้น

วันนี้แดดจ้าฟ้าผ่องใสแม้กระนั้นอากาศก็ค่อยไม่ร้อนเนื่องจากว่ายังเป็นช่วงๆหน้าหนาว มีลมพัดเย็นสบายเป็นช่วงๆขณะยืนดูข้างในรอบๆ วันนี้ผมรู้สึกว่าเป็นวันที่การท่องเที่ยวที่ดูเหมือนจะมีคุณค่าต่อตัวเองไม่น้อยที่ได้มามองเห็นมาสัมผัสกับโบราณสถานที่สำคัญที่อดีตกาล มีความรู้สึกว่า คนประเทศไทยที่ได้โอกาสผ่านมาจ.พระนครศรีอยุธยาน่าจะเข้ามาสัมผัสบรรยากาศอย่างนี้บ้าง ได้มารับทราบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ถึงแม้เพียงแค่ เศษเสี้ยว ก็อาจจะส่งผลให้กำเนิดความรู้สึกภูมิใจต่อบรรพบุรุษซึ่งฯลฯเชื้อสายของพวกเราในสมัยก่อนไม่น้อย

เจดีย์โบราณองค์ใหญ่ที่อยู่ทางด้านขวามือประตูปากทางเข้า มีผ้าสีเหลืองเหมือนผ้าจีวรพันรอบเจดีย์ ดูเหมือนจะเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก เป็นจุด พอใจที่มองสะดุดตาอย่างยิ่งเมื่อเดินเข้ามาในเขตวัด ผมปลดปล่อยให้เครือญาติที่มาร่วมกันเดินล่วงหน้าเข้าไปในวัดก่อน ส่วนผมนั้นขอเวลาซึม ซึมซับติดใจกับเจดีย์เก่าๆที่ตั้งอยู่กึ่งกลางลานต้นหญ้าสีเขียวครู่หนึ่งหนึ่ง ก่อนจะตามเข้าไป

เจดีย์เก่าๆที่พันจีวรนั้นเป็นสิ่งที่นักเดินทางฝรั่งหลายๆคนจะต้องหยุดถ่ายรูปไว้เป็นของที่ระลึก ผมยืนหลบแดดใต้ต้นไม้รอบๆ ใกล้ๆกันเพื่อมองทำเลที่ตั้งถ่ายรูปที่มีความคิดเห็นว่าเหมาะสมที่สุด จุดที่ผมยืนอยู่นั้นมีคนคึกคกเกินความจำเป็นเนื่องจากอยู่ติดทางคนเดินถ้าหากถ่ายรูปเจดีย์ที่ มุมนั้นก็คงมีภาพผู้ที่เดินไปๆมาๆนั้นติดเข้าไปในรูปภาพด้วย ก็เลยเปลี่ยนแปลงมุมไปยืนติดทางเดินขอบสนามซึ่งมีต้นไม้เตี้ยๆปลูกเป็นแถวรั้วไว้ มุมนี้มองเห็นเจดีย์ตั้งเด่นอยู่กึ่งกลางสนามที่เรียบเขียวชอุ่ม โดยมีท้องฟ้าสีแก่เป็นเบื้องหลัง



“ ของแท้ที่เห็นมากับตานั้นช่างงามที่จริงแล้วพวกเราจะถ่ายรูปออกมาให้เช่นเดียวกับที่ตามองเห็นได้ไหม…” มันเป็นความรู้สึกที่ผมเองก็ วิตกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังมั่นอกมั่นใจแล้วก็พากเพียรบันทึกภาพอย่างช้าๆและก็ใจเย็น ซึ่งน้อยครั้งที่จะบันทึกภาพด้วยความรู้สึกดีๆแบบนี้

ต่อจากนั้นก็เดินต่อเข้าไปภายใน มองเห็นพี่น้องโบกไม้โบกมือไหวๆบอกให้ช่วยถ่ายรูปหน้าเจดีย์ภายในด้วย ผมเดินตามเข้าไปในเขตแดนชั้นใน เรียกว่าเขตวิหารหลวงโดยมีกำแพงก้อนอิฐเตี้ยๆสูงไม่เกินหน้าเกินตาอกโอบล้อมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งรับประทานรอบๆกว้างใหญ่พอเหมาะพอควร

พุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่เนื้อปูนสูงราวๆ 2 เมตร ราวร้อยกว่าองค์นั่งเรียงติดติดกำแพงข้างในทั้งยัง 4 ด้านอย่างเรียบร้อยดูแล้วราวกับทำให้หัวใจพวกเราสงบไม่น้อย ทุกองค์หันเข้าพบเจดีย์ชัยมงคลซึ่งอยู่กึ่งกลาง พุทธรูปแต่ละองค์มีผ้าสีเหลืองพิงเฉที่บ่า ทำให้มองมีชีวิตชีวาแล้วก็สดชื่นในท่ามกลางซากของเขตวิหารหลวงที่นี้ ทางเท้ารอบวิหารปูด้วยอิฐก้อนใหญ่ๆแบบแต่ก่อนดูเหมือนกับว่ากับเป็นลานกว้างซึ่งสามารถเดินได้รอบฐานเจดีย์ ช่วงเวลาที่เดินรอบวิหารหลวงนั้นก็อดที่จะคิดมิได้ว่าลานรอบเจดีย์ที่นี้อาจผ่านรอยตีนผู้คนนับไม่ถ้วนมาหลายชั่วลูกชั่วหลานแล้ว รวมทั้งในสมัยก่อนนั้น ก็รู้สึกว่าถ้าหากคนใดได้ได้โอกาสมาสักการพระเจดีย์ที่นี้นี้ก็ถือได้ว่าบุญกุศลเป็นอย่างมาก เนื่องจากดูเหมือนจะมีท้องพระโรงคล้ายกับราชสำนักในอดีตกาล คล้ายกับจะเป็นทั้งยังวัดแล้วก็ราชสำนักไปในตัว



“ เจดีย์ชัยมงคล” ตามตำนานแล้ว สมเด็จพระพระราชามหาราชโปรดให้สร้างพระเจดีย์ชัยมงคลสรรเสริญ คราวชนะสงครามยุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชา พุทธศักราช 2135 ซึ่งถือว่ามีความหมายในทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก แล้วก็เป็นอนุสรณ์สถานที่ความมีชัย ภายหลังที่กรุงศรีอยุธยากลายเป็นเมืองประเทศราชของเมียนมาร์เมื่อปี พุทธศักราช 2112 แล้วต่อจากนั้นอีก 13 ปี สมเด็จพระกษัตริย์มหาราชก็สามารถกู้เอก ราชให้คืนกลับมาได้ และก็อีก 2 ปีถัดมาก็ได้ตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชจังหวัดอีกรอบหนึ่ง

ภายหลังที่ได้ถ่ายรูปให้กับพี่น้องๆเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ผมก็แยกตัวเพื่อหามุมถ่ายรูปโดยได้นัดให้ไปพบกันที่รถยนต์หลังถ่าย
ภาพเสร็จแล้ว ผมใช้เวลาสำหรับในการบันทึกภาพอย่างจุใจด้านในรอบๆวัด เพราะเหตุว่าช่องทางที่พวกเราจะกลับมารวมทั้งได้มองเห็นบรรยากาศที่เหมาะสมแก่การถ่ายภาพเสมือนแช่นวันนี้บางทีอาจหายากเต็มทน

วัดใหญ่ชัยมงคล สถานที่ผมยืนถ่ายรูปอยู่นี้ในสมัยก่อนนั้นมีความจำเป็นอยู่ไม่ใช่น้อย และก็มั่นใจว่านักเดินทางชาวไทยโดยมากอาจไม่มีผู้ใดรู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่สำคัญที่นี้ ก็เลยได้แต่ว่าเดินดูและทราบแต่เพียงว่าเป็นโบราณสถานอันโบราณยุคกรุงศรีอยุธยาเพียงแค่นั้น เนื้อหาต่างๆและก็ประวัติความเป็นมา น้อยคนนักที่จะรู้ ไม่ถูกกับนักเดินทางฝรั่งที่มีไกด์ชี้แจงให้ฟังในจุด หลักๆไปตลอดทางว่ามีที่ไปที่มารวมทั้งเกี่ยวเนื่องกับกษัตริย์ไทยในอดีตกาลนั้นเช่นไร ทำให้น่าห่วงว่าคุณประโยชน์แก่ควรจะจำกลุ่มนี้ หายไปจากคนประเทศไทยไม่น้อย และก็น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่มองเห็นสถานที่โบราณต่างๆทั่วราชอาณาจักร ถูกนักเดินทางคนประเทศไทยร่วมกันนี้ทำลายด้วยวิชาความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งคำว่า "รู้เท่าไม่ถึงการณ์" ดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างที่ทำให้ทุกๆอย่างจบโดยไม่มีข้อตำหนิอื่นอะไรก็แล้วแต่เลย ซึ่งสิ่งนี้ย่อมสะท้อนให้มีความเห็นว่า การท่องเที่ยวในความรู้ความเข้าใจของชาวไทยส่วนมากแล้วยังจำเป็นต้องปรับปรุงความนึกคิดความรู้ความเข้าใจอีกไม่น้อย

เวลาที่กำลังถ่ายรูปอยู่นั้นก็เกิดแนวคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ในตอนเทศกาลสำคัญที่มีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวดูกันมากมายๆทางวัดคงจะร่วมมือกับสถานที่เรียนในบริเวณนั้นทำโครงงาน “ไกด์อาสาสมัคร” ให้เด็กนักเรียนมาอบรมศึกษาเล่าเรียนเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสงฆ์อย่าง ละเอียดรวมทั้งสามารถเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวชาวไทยกรุ๊ปเล็กๆท่องเที่ยวดูได้อย่างมีคุณค่าแล้วก็ได้ประโยชน์ โดยยิ่งไปกว่านั้นเยาวชนตัวเล็กๆที่มากับครอบครัว นักเดินทางบางทีอาจเสียค่าบริการบ้างตามควร ็คงจะกำเนิดผลดีและก็ช่วยสร้างรายได้ให้กับนักเรียนพวกนั้น เป็นการฝึกซ้อมให้ผู้เรียนในแคว้นรู้จักอาชีพไกด์นำเที่ยว ซึ่งบางทีอาจเป็นอาชีพถาวรให้กับเด็กๆพวกนั้นได้ในอนาคต ที่สำคัญจะทำ ให้เยาวชนพวกนั้นมีความรู้สึกผูกพันธ์รวมทั้งหวงโบราณสถานในเขตแดนของตนอีกด้วย



เพื่อเรื่องราว”วัดใหญ่ขัยมงคล” มีความสมบูรณ์เยอะขึ้น ก็เลยขอคัดเลือกย่อเรื่องเล็กน้อยที่มีความคิดเห็นว่าน่าดึงดูดมาเล่าสู่กันฟัง จากหนังสือ
“ วัดใหญ่ชัยมงคล “ ที่ซื้อมาจากแม่ชีคนหนึ่งของสงฆ์นี้ ดังต่อไปนี้……..


“ ….จากภาวะทางภูมิศาสตร์แสดงให้รู้ดีว่า วัดใหญ่ชัยมงคลตั้งอยู่รอบๆเดียวกันกับวัดแพนงเชิง วัดมโหยงเหยงคณ์ วัดกุฏิดาว
วัดสมที่หีบศพ รวมทั้งวัดอโยธยา และก็ซากที่เหลือให้มองเห็นล้วนแล้วแต่แสดงถึงความใหญ่โตมโหฬารในอดีตกาลทั้งหมด ก็เลยน่าเชื่อถือว่า วัดใหญ่ชัยมงคลอาจจะเป็นสำนักที่มีพระสงฆ์อยู่มาก่อนสมเด็จพระรามาหัวหน้าที่ 1(พระผู้เป็นเจ้าอู่ทองคำ)ทรงตั้งกรุงเทวดาทราวดีศรีอยุธยาแน่นอน”

“เมื่อสมเด็จพระรามาหัวหน้าที่ 1 ทรงตั้งกรุงเทวดาทราวดีศรีอยุธยาแล้ว 7 ปี (พุทธศักราช 1900 ) โปรดกล้าให้ขุดศพเจ้าแก้ว เจ้าไท ี่ออกอหิวาต์ตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงศพที่สำนักสงฆ์ที่นี้ แล้วแต่งตั้งพระเจดีย์วิหารเป็นวัดหลวง พระราชทานนามว่า “ วัดป่าแก้ว” (จากประวัติกรุงศรีอยุธยา)

“เนื่องมาจากวัดนี้เป็นวัดหลวงยุคกรุงศรีอยุธยา รวมทั้งมีรอบๆกว้างใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่มโหฬารรวมทั้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น